จำนวนคนดู : 150
เลือกอ่านตามหัวข้อ
เกริ่นนำ
ในยุคโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก ทุกคนหันมาช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้นทำให้อัตราการใช้บัตรเครดิตใช้จ่ายสูงเป็นเท่าตัว เพราะ ทั้งง่าย สะดวก และลดการสัมผัสไม่ให้แพร่เชื้อจากการใช้จ่าย ทำให้มิจฉาชีพหาช่องโหว่ต่าง ๆ ทำการโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิตโดยที่เราไม่รู้ตัว
การใช้บัตรเครดิตอย่างระมัดระวัง เป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของโจรกรรม ทางการเงิน วันนี้ TRD ขอรวบรวมวิธีพิ่มความปลอดภัยในการใช้บัตรเครดิต เพื่อเพิ่มความสบายใจเวลาช้อปปิ้ง มาฝากกัน
วิธีเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บัตรเครดิต
1. ขูดรหัสเลข 3 หลัก CVV หลังบัตร
การขูดเลข CVV 3 ตัวหลังบัตรก็อาจจะช่วยป้องกันมิจฉาชีพได้ แล้วจดเลขใส่ note อะไรก็ได้ที่ล็อครหัสได้ เพราะเลข CVV จำต้องกรอกก่อนใช้จ่ายผ่านออนไลน์ หากไม่มีเลข 3 ตัวหลังนี้จะไม่มีทางใช้จ่ายได้เลย แต่ถึงแม้คุณจะขูดทิ้งแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นไปได้ที่จะโดน hacks เช่น paypal และ web หลาย ๆ ที่แค่ถ่ายรูปหน้าบัตรเครดิตไว้ มีข้อมูลแค่นี้ก็ตัดเงินได้เลย ไม่ต้องใช้เลขหลังบัตร และ OTP แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ขูดทิ้งจะดีกว่า ถ้าหากขูดแล้วจำไม่ได้ มีทางเดียวคือ ต้องออกบัตรใหม่เท่านั้น
2. เปิดแจ้งเตือนผ่าน SMS / แอพพลิเคชั่น
ควรเปิดแจ้งเตือนทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายทันที เพราะตอนนี้มีหลายธนาคารมีฟังก์ชั่นให้เปิดแจ้งเตือนกันเกือบทุกที่แล้ว ถ้าหากได้รับแจ้งเตือนการใช้งานบัตรเครดิตที่เราไม่ได้ใช้งานให้รีบติดต่อกับธนาคารทันที
ธนาคารที่ให้บริการแจ้งเตือนผ่าน SMS / แอพพลิเคชั่น
3. ใช้บริการ Verified by Visa, MasterCard Secure Code หรือ JCB J/Secure
เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น และสามารถลดความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมการเงินผ่านออนไลน์ ซึ่งเจ้าของบัตรจำเป็นต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของธนาคารผู้ออกบัตรก่อน เพื่อใช้ Verified by Visa (VBV), Master Card Secure Code (MCSC) และ JCB J/Secure ในการชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเครดิตโดยต้องยืนยัน OTP ก่อนชำระเท่านั้น แม้จะมีคนขโมยบัตร หรือจำเลขบัตรไป ก็จะไม่สามารถนำไปใช้จ่ายออนไลน์ได้
4. ปรับลดวงเงิน/จำนวน transaction ในการใช้บัตรเครดิตต่อวัน
การกำหนดวงเงินบัตรเครดิตหรือจำนวนการใช้จ่ายต่อวันให้เหลือน้อย ๆ ไว้ก่อน เวลาจะใช้จ่ายจริงค่อยเข้าไปปรับเพิ่มวงเงินใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงถูกใช้จดหมดวงเงินในบัตรหรือความเสียหายที่มากเกินไป ในส่วนของการปรับลดวงเงินชั่วคราวมีเพียงบัตรเครดิต KTC เท่านั้นที่เปิดให้ใช้ฟังก์ชั่นนี้ สามารถปรับลดได้ทันทีผ่าน แอพพลิเคชั่น KTC Mobile
ขั้นตอนการปรับลดวงเงิน ผ่าน KTC Mobile
5. ไม่ใช้บัตรเครดิตกับเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
มิจฉาชีพที่มาในรูปแบบของร้านค้าก็มีเช่นกัน ยิ่งถ้าเป็นร้านค้าออนไลน์จากต่างประเทศที่จะหลอกให้เรากรอกข้อมูลบัตรเครดิตให้กับเว็บไซต์โดยตรง ดังนั้นควรเลือกช้อปบนเว็บไซต์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือตัวกลางในชำระอย่าง Paypal ที่ความน่าเชื่อถือ และคอยสังเกตลิงค์ของเว็ปไซต์ว่าเป็น https: หรือไม่ ก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการทำธุรกรรมได้มากขึ้น
6. ไม่ล็อคอินระบบจ่ายเงินในคอมฯ Public หรือแม้แต่ wifi ฟรีทั่วไป
ไม่ควรในการทำรายการที่ต้องใช้ข้อมูลบัตรเครดิต เช่น หมายเลขบัตรเครดิตและรหัสผ่านบนคอมพิวเตอร์สาธารณะ Free Wi-Fi ที่ไม่รู้จัก หรือแม้แต่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ก็ไม่ควรเสี่ยง หากจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ควรเลือกใช้โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito) ในเบราว์เซอร์ เพื่อป้องกันการถูกบันทึกข้อมูลในขณะใช้งาน
7. ไม่ทำการตอบกลับ Phishing e-mail ที่น่าสงสัย
สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ ไม่มีธนาคารใด ๆ จะสอบถามข้อมูลส่วนตัว, ข้อมูลบัญชี หรือ ข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้าผ่านทาง e-mail และเมื่อเปิดอ่านไม่ควรคลิกลิงค์ที่เป็นพิรุธ ไม่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำใด ๆ ของ e-mail นั้นทั้งสิ้น และหากมีข้อสงสัยสามารถส่ง e-mail ฉบับนั้นไปยังธนาคารเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
กรณีที่พบว่าบัตรเครดิตโดน Hack หรือแอบรูด
ผลการหารือระหว่างธนาคารกับตำรวจ คดีดูดเงินจากบัญชี ได้ข้อสรุปแล้ว ต่อจากนี้ผู้เสียหายมาแจ้งธนาคารได้เลย ไม่ต้องแจ้งตำรวจ เพื่อลดระยะเวลาประสานงาน และจะชดใช้ให้ภายใน 5 วันทำการ ยืนยัน ธนาคารไม่ได้ถูกแฮก แต่ถูกสุ่มข้อมูลบัตรต่าง ๆ
หลังจากได้รับยอดที่ผิดปกติ ติดต่อคอลเซ็นเตอร์ของธนาคารทันทีเมื่อรู้ตัวว่าบัตรหายหรือโดนแฮ็ค ให้แจ้งธนาคารและขออายัดบัตรหรือปฏิเสธรายการแจ้งหนี้ ที่ไม่ได้ใช้ได้
รวมหมายเลขโทรศัพท์ คอลเซ็นเตอร์ของสถาบันการเงิน และธนาคารต่าง ๆ สามารถติดต่อกรณีเงินหายจากบัญชี หรือถูกหักเงินจากบัตรเครดิต
กรณีบัตรเดบิต จะได้รับการคืนเงินภายใน 5 วันทำการ
กรณีบัตรเครดิต ธนาคารจะยกเลิกรายการให้ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องชำระเงินตามยอดเรียกเก็บที่ผิดปกติ และจะไม่มีการคิดดอกเบี้ยของยอดดังกล่าว