ชวนคิด 18 ประเภทของสินทรัพย์ลงทุน…แต่ทำไมผมเลือกแค่ “หุ้น” กับ “อสังหาฯ”

สรุปสินทรัพย์ในการลงทุน 18 ประเภท — และทำไมผมถึงเลือกลงทุนแค่ ” หุ้น ” และ “อสังหาริมทรัพย์ในไทย “
เท่าที่หาข้อมูลได้ และจำแนกออกมาเอง ผมแบ่งสินทรัพย์ในการลงทุนเป็นดังนี้ครับ
หมายเหตุ: เหตุผลที่ตัดสินใจลงทุน/ ไม่ลงทุน ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลส่วนตัวของผมนะครับ ซึ่งสำหรับบางคนที่เลือกลงทุนในแต่ละประเภทก็อาจจะเป็นการลงทุนที่ดีมากก็ได้ และที่สำคัญผมต้อง การ focus ซึ่งส่วนตัวผมเองไม่มีความสามารถพอที่จะเข้าใจในการลงทุนหลายประเภทพร้อมๆ กันได้ จึงจำเป็นต้องเลือกประเภทการลงทุนที่สนใจและเหมาะกับตัวเอง มาลองชวนคิดกันดูครับ
สินทรัพย์ที่ผมให้ความสนใจและเลือกที่จะลงทุน มี 2 ประเภท ดังนี้
a) หุ้นไทย และหุ้นต่างประเทศ
อันนี้คงไม่มีไรต้องอธิบายนะครับ ตั้งแต่ตลาดหุ้นได้ก่อตั้งขึ้นที่ Amsterdam ในปี 1611 + การตั้งบริษัท และมีผู้ถือหุ้นเข้าลงทุน ในบริษัทนอกตลาด หุ้นถือเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด และได้รับความนิยมมากที่สุด (แต่ก็ผันผวนมาก)
b) อสังหาริมทรัพย์ในไทย จริงๆ ไม่ได้ prefer เพียงแต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแค่ที่อยู่อาศัยก็เป็นการลงทุนแล้ว ผมจึงตั้งธงไว้ว่า รู้พอสมควรสำหรับอสังหาเพื่อที่อยู่อาศัย และทำธุรกิจบ้าง (ตัวผมเองจะไม่พยายามเรียนรู้จนลึกซึ้งเหมือนการวิเคราะห์หุ้น)
Leverage ผมแบ่งการลงทุนประเภท Leverage ออกเป็น 3 แบบ
1. Leverage ที่มีประสิทธิภาพจริง เช่น margin account (แต่ต้อง control risk ให้อยู่ใน level ที่เหมาะสม) และต้องระวังการใช้มากๆ โดยส่วนตัวไม่เคยใช้เกิน 10% ส่วนใหญ่ไม่เกิน 5% ด้วยซ้ำ
2. Leverage ที่เกิดจากข้อผิดพลาดของตลาด (price mismatch ทำให้นอกจากเป็น leverage แล้วยังเป็นการลงทุนที่ดี) eg. warrant ซึ่งควรจะเลือกจากปัจจัย price mismatch ก่อนเรื่อง leverage ครับ
3. Leverage ที่ไม่สนใจลงทุน เช่น zero sum game / มีเจ้ามือ เช่น DW by brokerage firm
สินทรัพย์ที่ผมไม่สนใจลงทุน
หมายเหตุ: ข้อ 1-5 คือแนะนำให้ลงทุนได้ สำหรับคนทั่วไป แต่ส่วนตัวผมไม่ได้ลงทุน)
*** zero-sum game
การลงทุนบบนี้ผมไม่สนใจ เพราะเราจะโตได้จากการที่ดูดเงินคนอื่นมา ซึ่งโอกาสโตมันน้อยกว่าลงทุนประเภทตลาดเติบโตไปทั้งหมดด้วยกัน อาทิเช่น
1) Bonds
จริงๆ แล้วอาจจะเป็นการลงทุนที่ดีในคนทั่วไป แค่ซื้อกระจายแล้วถือ หรือถ้าผมมีโอกาสแบบคุณปู่ Buffett ในการลงทุน bonds ในช่วงวิกฤติที่เป็น deal ตรงกับบริษัทนั้นๆ ที่ต้องการ cash ด่วน จึงทำให้คุณปู่ได้ yield ที่สูงมาก และยังเป็น convertible bonds อีก แบบนี้น่าสนใจสุดๆ แต่ว่าผมไม่มีโอกาสนั้น
สรุปไม่สนใจ เพราะผมไม่สามารถเข้าถึง bond ที่มี liquidity สูงได้ ดังนั้นการถือ bonds เพื่อรอเวลาอาจทำให้พลาดจังหวะลงทุนในหุ้นได้ [การถือ bond นานๆ ก็ลดผลตอบแทนทบต้นต่อปีแน่นอน] ส่วนเรื่องความเสี่ยงจาก bond โดยส่วนตัวมองว่าถ้า balance port หุ้นดีๆ และเข้าใจมันเพียงพอ ไม่เอาระยะสั้น < 3 ปีมาวัด — มันก็เสี่ยงน้อยแล้วสำหรับผม
2) Mutual Funds
จริงๆ แล้วอาจจะเป็นการลงทุนที่ดีในคนทั่วไป ถ้าถือยาวพอ ไม่เลือกกองทุนเสี่ยงสูง
แต่ผมไม่สนใจเพราะ
ข้อหนึ่ง ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่แพ้ตลาด
ข้อสอง กองทุนมีข้อจำกัดเยอะจนทำให้ผู้จัดการกองทุนที่ดี ทำงานได้ยาก
ข้อสาม เสียค่า FEES ลดผลตอบแทนทบต้น
ข้อสี่ ผู้จัดการกองทุนที่เก่งก็อาจย้ายงานได้ทุกเมื่อ
3) ETF
จริงๆ แล้วเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับคนทั่วไป บางคนที่ถือมานานก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ ด้วย เรียกว่าแนะนำเลย โดยเราสามารถซื้อ ETF ได้หลายสิบประเทศผ่านตลาด NYSE แค่เปิด port หุ้นของ USA โดยส่วนมากจะลงทุนผ่านกองทุน blackrock ต้นทุนค่าธรรมเนียมจะถูกกว่าลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย 1.5% โดยประมาณ โดยที่กองทุนรวมไทยหลายๆ กองก็แค่ไปซื้อ blackrock ต่อแล้วอาจจะเพิ่มประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนให้นิดหน่อย (ส่วนใหญ่เห็นประกันอยู่แค่ 20% +/-)
โดยถ้าเราอยากประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ก็ใช้ broke แบบ exness trade FOREX ได้ แต่แนะนำว่าไม่ต้องทำหรอก ถ้าลงทุนยาวมากๆ ส่วนผมไม่ลงทุนเพราะ การหาซื้อหุ้นเจ๋งๆ ในประเทศนั้นๆ สักตัวย่อมดีกว่าซื้อทั้งตลาด และเอาเข้าจริงการวิเคราะห์หุ้นรายตัวอาจทำได้ง่ายกว่าวิเคราะห์ทั้งตลาด บางประเทศเข้าใจว่าซื้อหุ้นรายตัวยาก แต่ผลตอบแทน ETF ก็ไม่น่าสู้กับหุ้นรายตัวในประเทศที่เรามี ความรู้พอจะลงทุนได้อยู่ดี
4) Retirement Plans e.g. RMF SSF
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่พร้อมจะทุ่มเทให้กับการเลือกหุ้นสุดๆ มันถือเป็นการลงทุนที่ดีมากๆ เลยนะครับ ยิ่งคุณเสียภาษีฐานสูงเท่าไร มันยิ่งได้ส่วนลดมากเท่านั้น แต่ผมไม่ลงทุนเพราะผลตอบแทนที่ได้รับในเรื่องสิทธิประโยชน์ภาษีมักไม่คุ้มกับผลตอบแทนจากการลงทุนจริงที่อาจต้องเสียไปเพราะเลือกหุ้นเองไม่ได้
5) Provident Funds
อันนี้ควรลงทุนเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าใครทุ่มเทให้กับการเลือกหุ้นอย่างมาก ต้องเทียบค่าเสียโอกาสว่า ที่บริษัท double ให้คุณ 1 เท่า จะคุ้มกับผลตอบแทนทบต้นไปเรื่อยๆถ้าคุณจะไปเลือกหุ้นรายตัวเองไหม สำหรับส่วนตัวผมไม่ได้รับ offer นี้อยู่แล้ว เลยไม่สนใจ
ขอย้ำนะครับ ตั้งแต่ข้อ 6 เป็นต้นไป การวิเคราะห์ต่างๆ จะเป็นเพียงมุมมอง และความถนัดส่วนตัวในการพิจารณาของผมนะครับ…
 
6) Start Up
ส่วนตัวผมมองว่าหุ้นในตลาดนั้นน่าสนใจกว่า ในแง่ของความแน่นอนของสถานะผู้ถือหุ้นซึ่งมีระเบียบจัดการที่ดีกว่า ถึงแม้ start up อาจมีโอกาสโตสูงมาก แต่หุ้นเล็กๆ ในตลาดก็มีเช่นกัน แม้อาจจะน้อยกว่าบ้าง เมื่อเอาความเสี่ยงข้างต้นมา weight แล้วน่าจะคุ้มกว่า
 
7) Savings + Money Market Funds
เป็นแค่ที่พักเงิน ไม่ได้นับเป็นการลงทุน
 
😎 derivatives – options ต่างๆ
ไม่เห็นประโยชน์ของการทำ leverage แบบนี้ เพราะส่วนใหญ่เป็น zero sum game หรือ มีเจ้ามือ เช่น DW
ส่วนการ open short position = bet against flow เพราะ assumption ในระยะยาวมาก คือตลาดจะขึ้นไปเรื่อยๆ
 
9) short stocks
9.1) unlimited loss
9.2) best case คือผลตอบแทน 100% ซึ่งส่วนใหญ่ได้สัก 80-90% ก็คงโดนหยุดเทรดแล้ว (แต่ถ้าซื้อหุ้น ผลตอบแทนไม่จำกัด)
9.3) มีดอกเบี้ยค่ายืมหุ้นมา short
9.4) ความเสี่ยงอื่นๆ แม้จะเลือกถูกทาง เช่น หุ้นจะออกจากตลาด หรือถูกหยุดเทรด ซึ่งมักเป็นกับหุ้นที่ราคาล่วงหนักนี่แหละ สุดท้ายโดนบังคับปิด position ทำให้อาจจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้เต็มที่แม้คาดการณ์ถูก
 
10) Commodities e.g. oil coal agri precious-metal
precious metal ไม่มีค่าในตัวมันเอง และสร้างมูลค่าเพิ่มไม่ได้ด้วยตัวมันเอง อย่างเช่น สินค้าเกษตร & commodities อื่นๆ เช่น oil : too hard too predict ต้องอาศัยความรู้เฉพาะตัว products สูงมากๆ  ส่วนตัวผมเองคิดว่าแบบนี้ไปหาหุ้น ที่ทำ commodity พวกนี้น่าจะดีกว่า
 
11) Tangible Assets & ของสะสมต่างๆ รวมถึงเลขและเบอร์สวยต่างๆ สร้างมูลค่าเพิ่มในตัวมันเองไม่ได้ ไม่มี value ในตัวเอง อยู่ที่คนจะ value มันเท่าไร และยังยุ่งยากในการดูแลรักษา
12) FOREX
ส่วนตัวผมมองว่า ค่าเงินคาดการณ์และหาเหตุผลให้ทิศทางมันยากมากๆ และจุดประสงค์ของมันควรใช้ประกันความเสี่ยงสำหรับแวดวงธุรกิจ ค้าขายมากกว่า
 
13) เครื่องมือทางการลงทุนอื่นๆ โดยเฉพาะ พวกกลุ่ม Derivatives ที่ถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ มักถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนองความโลภของคน ตามแต่ช่วงเวลา ลองไปดูเรื่อง the big short แล้วจะเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร
 
14) Crypto Currency
มันไม่สามารถวัดมูลค่าได้ และไม่มี value ในตัวเอง แล้วทำไมเราถึงไม่เลือกลงทุนในสิ่งที่วัดมูลค่าได้ และมีมูลค่าในตัวมันเอง เช่น หุ้น
 
15) Foreign Property
ยุ่งยากในการจัดการ ดูแลรักษา ถ้าอยากลงทุนซื้อหุ้น Property ที่ต่างประเทศจะดีกว่า
 
16) การลงทุนใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตที่ต้องระวัง ให้จำไว้ว่า การลงทุนควรเป็นดังนี้
— สามารถวัดมูลค่าได้
— มีมูลค่าในตัวมันเอง ไม่ใช่แล้วแต่ผู้คนในตลาดจะให้ value
(yes = หุ้น น้ำมัน แร่เงิน)
(no = ทอง crypto ของสะสม)
— การลงทุนในธุรกิจอะไรสักอย่าง มันต้องมีธุรกิจจริงๆ
— ระวังเมื่อความโลภ และความไม่รู้มาบรรจบกัน เราจะขาดทุนหนัก
 
by KAK TRD
The Richest Duck

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *